พอบอกใครๆ ว่าจะได้ไปไอซ์แลนด์ ทุกคนหันหน้าควับมองค้อน หนักหน่อยก็ถึงกับประชดว่า .”กูเกลียดมึง” เราก็ว่าไม่ผิดหรอกที่ใครๆก็เกลียดเราที่มาไอซ์แลนด์ เพราะว่าประเทศนี้ร้อยทั้งร้อยย่อมขึ้นหิ้งเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคน เหมือนความฝันสูงสุดของชะนีหลายๆคนที่จะได้ควงกงยูถ่ายรูปลงเฟสให้โลกรู้ แฟนกันวันเดียวก็ยังดีอะไรแบบนั้น เราเข้าใจจะเบะปากใส่กันก็ไม่ว่าอะไร 555 เพราะยิ่งเกลียดยิ่งมีแพซชั่นถ่ายรูปสวยๆ มาฝาก อ่านรีวิวนี้จบปุ๊ปอาจจะตะโกนว่าเกลียดมึงดังขึ้นกว่าเดิม! เอาหน่าถือว่าเป็นรีวิวสนับสนุนให้ทุกคนออกไปใช้ชีวิตละกัน
ประเทศไอซ์แลนด์ (ดูทัวร์การท่องเที่ยวไอซ์แลนด์
ก่อนที่จะเล่าอะไร อยากปรับความเข้าใจเกี่ยวกับไอซ์แลนด์ที่หลายๆคนคิด ถึงไอซ์แลนด์จะอยู่เกือบสุดขั้วโลกเหนือก็จริง หรือฟังชื่อแล้วคิดว่าเมืองนี้มีแต่น้ำเเข็งไม่มีสิ่งมีชีวิตแน่ๆ ขอบอกเลยจ้าว่าคิดผิดแล้ว ความพิเศษที่ทำให้ไอซ์แลนด์อบอุ่นพอคนสามารถอาศัยอยู่ได้ก็คือการตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟมากมาย ให้ความอบอุ่นอยู่ใต้ดิน ปล่อยควันอุ่นๆออกมาเป็นพักๆ ทำให้ประเทศนี้มีพื่นที่สีเขียวมากกว่า โซนหนาวๆของทางรัสเซีย หรือจีนซะอีก …อะเริ่มหายกลัวกันยัง
ไอซ์แลนด์หน้าหนาวเป็นยังไง (สามารถดูทัวร์และแพ็คเกจเที่ยวหน้าหนาวได้เลยคลิกที่นี่)
ช่วงนี้รีวิวไอซ์แลนด์เยอะมาก เต็มโซเชียลทั้งคนไทย ทั้งฝรั่งแห่แหนกันไปเที่ยวไอซ์แลนด์ เพราะว่าประเทศนี้กำลังบูมสุดๆ คนอเมริกันไปเที่ยวเยอะจนที่สนามบินต้องแยกช่องสำหรับพาสปอร์ตอเมริกัน แบบโดดๆไปเลยอะคิดดู แต่น้อยมากๆที่จะได้เห็นใครไปรีวิวไอซ์แลนด์ในฤดูหนาว นั่นแหละ อะไรที่เค้าไม่ทำกัน ไปไง มาไง ทำ!!! 555 ซึ่งบอกเลย ว่า “มันไม่ง่าย” แต่มันก็แลกมาด้วยความพิเศษหลายๆอย่างที่หาไม่ได้จากฤดูอื่น
ที่บอกว่ามันไม่ง่ายก็เพราะว่า ในช่วงหน้าหนาวเนี่ย ช่วงเวลาที่มีแสงหรือว่า Day time ของประเทศนี้จะน้อยมากกก!!! พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 11 โมง หรือโชคดีหน่อยก็ 10 โมง และตกประมาณ 3-4 โมง คือยังไม่ได้ทำอะไรเลยไล่ไปนอนอีกแล้ว!!! แต่ความดีงามก็คือ ช่วง twilight หรือช่วงรอยต่อของแสงที่เปลี่ยนผ่านของวัน (ที่เค้าเรียกๆว่า Magic hour นั่นแหละ) จะนานและอยู่ใกล้กันมาก ถ่ายรูปก็จะได้ฟ้าสีอมชมพูๆ ซะเป็นส่วนใหญ่
เกริ่นมาพอแล้วมาเริ่มกันเลยดีกว่า ไอซ์แลนด์รอบนี้เราไปแค่ช่วงสั้นๆ เพราะว่าบวกพ่วงกับประเทศเพื่อนบ้านแถบสแกนฯ อีกสองประเทศเข้าไปด้วย คือ เดนมาร์ค และ นอร์เวย์ อ่านไอซ์แลนด์ให้จบ เราเก็บไว้ด้านล่างนะสำหรับสองประเทศนี้ สถานที่ที่เราไปในไอซ์แลนด์ทั้งหมดจะอยู่ทางตะวันตก ด้วยเวลาอันจำกัดเราเลยเลือกเก็บที่พีคๆ มาให้ดูและตามรอยกันง่ายๆ ไปกลับจาก เรคยาวิค เมืองหลวงได้เลย ไม่ต้องจองที่พักหลายที่
Thingvillir (ติง-วิล-ลี่)
ที่นี่เป็นที่ที่มีความสำคัญหลายด้านมาก หลักๆ เลยคือถ้ามายืนอยู่ตรงนี้ เรากำลังเหยียบบนพื้นดินเดียวแต่คร่อม สองเเผ่นเปลือกโลก ฝั่งหนึ่งเป็นแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ ส่วนอีกแผ่นนึงเป็นเเผ่นยุโรป!!! อย่างงนะ มันจะไม่เหมือนกับที่ตุรกีเมืองสองทวีปเพราะอันนั้นเส้นแบ่งทวีปยุโรปกับเอเชียและเป็นเส้นที่มนุษย์ขีดขึ้นมา แต่อันเนี่ยเเผ่นเปลือกโลกสองทวีปเค้ามาชนกัน แยกให้ออกๆ
อีกอย่างหนึ่งที่ที่นี่เค้าได้รับความคุ้มครองจาก UNESCO เพราะว่าเป็นที่แรก ที่คนเริ่มมาตั้งรกรากกันที่ไอซ์แลนด์ เค้าอพยพหนีหนาวกันมา ละคำว่า Thingvillir เนี่ยก็แปลว่ารัฐสภาแห่งแรกๆของโลก ใช่แล้ว…ชาวไวกิ้งสมัยก่อนประชุมกัน ยืนบนหน้าผาประชุมกองกันเหมือนหนังเรื่อง Thor อย่างนั้นแหละค่ะคุณ เก๋ปะหละ UNESCO เลยบอกว่าชิคกันมากเลยค่ะ ชิคมากๆ มาขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปเลยค่า
เดินมาเรื่อยๆสุดทางเดินมีน้ำตกเล็กๆ ที่ไหลไปร่วมกันที่ทะเลสาบ Þingvallavatn ทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์
การเดินทาง ใช้ถนนสาย 1 ออกมาทางเหนือของเมืองหลวง เรคยาวิค ผ่านเมือง Mosfellsbær แล้วออกทางออกแรกเข้าถนนสาย 36 ก็จะมาถึงเลย ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงแค่ประมาณ 45 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
Geysir (เกย์-ซิเออร์)
ที่นี่อยู่ในเส้นเดียวกันนั่นแหละ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งที่ต้องแวะเลยก็คือ น้ำพุร้อนแห่งแรกที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ของยุโรป เป็นน้ำพุร้อนที่ถูกบันทึกว่าเป็น The Great Geyser คือเมื่อก่อนเนี่ยจะมีอีกอันหนึ่งซึ่งปล่อยน้ำสูงกว่านี้มากก แต่ตอนนี้ดับไปแล้ว เพราะอะไรนั้นสาเหตุไม่ค่อยชัดเจนบางแหล่งบอกว่านักท่องเที่ยวเข้าไปป่วนๆ เช่นโยนของลงไป หรือบางแหล่งก็บอกว่าเจ้าหน้าที่ชาวไอซ์แลนด์เองนั่นแหละที่เอาพวกยางไม้ไปปิดที่รูเพื่อให้รูมันเล็ก หวังว่าน้ำพุจะพุ่งได้สูงยิ่งขึ้นอีก กลับกลายเป็นว่า Great Geysir อันเดิมนั้นไม่มีแล้ว เหลือแต่อันที่เราเห็นกันนี่แหละที่เป็นอันรอง
เมื่อรถของเราจอดบริเวณที่ขายของที่ระลึก เราจะได้ยินเสียงคนร้องวี๊ด ว๊าย ตื่นตระหนกตกใจกันเป็นระยะๆ คือไม่ต้องตกใจนะ ไม่มีใครวิ่งราวกันแน่นอน แต่ที่จะได้ยินคนร้องเป็นระยะๆ เนี่ยเพราะว่า น้ำพุร้อนที่นี่จะปะทุผ่านรูเล็กๆ ประมาณทุกๆ 10 นาที น้ำจะพุ่งขึ้นสูงจนเราเข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆ นี่ก็มีแอบเปียกๆ มาบ้างเหมือนกัน
บริเวณพื้นที่รอบๆจะมีควันๆโพยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ามีพลังงานบางอย่างใต้ผิวโลกกำลังทำงานอยู่แบบที่เราเห็นได้เลย ไม่ต้องเรียกริวมาส่งจิตสัมผัส พลังงานความร้อนใต้พิภพแบบนี้แหละที่ทำให้ชาวไอซ์แลนด์ยุคก่อนๆเอาชีวิตรอดจากความหนาวมาได้ มันร้อนถึงขนาดว่าขุดๆ แล้วเอาขนมปังไปฝังพรุ่งนี้เช้าตื่นมาขนมปังสุก เอามากินได้เลยนะเก๋นะยูวว (ถ้าใครอยากลองกินที่ร้านขายของจะมีขายเป็นเซ็ตอาหารกลางวัน จะเป็นขนมปังดำๆลองกินดู) ถ้าเป็นอย่างที่ไทยก็เอามาต้มไข่นั่นแหละ5555
ความดีงามที่บอกไว้ พระอาทิตย์ที่นี่ลอยต่ำตลอดเวลาแสงนวล ไม่ลงตรงหัวถ่ายยังไงก็ได้แฟลร์สวยๆเพียบ
เฝ้ารอให้น้องปะทุออกมา (เราถ่ายได้เป็นวีดีโอด้วยนะดูจากในคลิปได้เลย)
Gullfoss (กุล-ฟอส)
อยู่ไม่ไกลจาก Geysir ขับรถไม่เกิน 30 นาที เราก็จะมาถึงน้ำตก Gullfoss น้ำตกที่เนื้อหอมที่สุดในขณะนี้ เพราะว่าไปง่ายไม่ไกลจากตัวเมืองเรคยาวิคเลย และที่สำคัญคือความอลังการ เมื่อเรามาถึงรถจอดอาจจะงงๆ ว่าไหนอะ ไหนน้ำตก เพราะว่าถ้าเราเที่ยวน้ำตกบ้านเรา จะต้องเคยชินกับการปีนขึ้น ชั้น 7 ชั้น 8 ว่ากันไป แต่อันนี้สบาย เพราะว่าน้ำตกอยู่ต่ำกว่าเราอยู่แล้ว ทางการไอซ์แลนด์ก็จัดทำทางเดินสำรวจได้รอบๆแยกเป็นทางขึ้นหรือทางลง ส่วนเราเลือกลงดูด้านล่าง เดินๆไปตามทางแล้วเราก็จะเห็นน้ำตกขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า จากตอนแรกที่คิดว่า ไหนวะๆ พอเห็นแล้วก็รู้สึกว่าไปไม่เป็นเลยทีเดียว
นี่เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยเห็นมาแล้ว เป็นธรรมชาติที่อลังการจริงๆ น้ำจะไหลลงมาเป็นขั้นบันได มีพลังเยอะมากความรู้สึกเหมือนเจอผู้ชายหล่อๆ ขรึมๆ กล้ามใหญ่ๆ จากที่มั่นใจๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กอ่อนแอ น่าทะนุถนอมไปเลยทันที5555 นี่ก็คิดว่าถ้ามีใครมองอยู่ คงคิดว่าทำไมเราดูลุกรี้ลุกรนจัง เพราะว่าจริงๆ มันประหม่าไปหมดไม่รู้จะถ่ายยังไงให้กลับมาเขียนแล้วเข้าใจอารมณ์ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มากที่สุด แต่ก็นั่นแหละถ่ายให้ตายยังไงก็ไม่เท่ากับการได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ
อะ! อากาศหน้าหนาวเสื้อกันหนาวก็ต้องพร้อมนะจ๊ะ ว่าไม่ได้พร็อบต้องเต็ม เสื้อผ้าต้องดีและอุ่น ปากต้องแดงถ่ายรูปก็มองเสยนิดนึง เผยอปากนิดหน่อย ธรรมดาของคนสวยจากประเทศไทยจ้า อิอิ เราแนะนำให้หา Baselayer เสื้อตัวในใส่ก่อนชั้นนึงก่อนใส่เสื้อผ้าปกติและเสื้อกันหนาว จะได้ไม่ต้องเอาไปหลายๆ ตัวให้เป็นหมีหรือตู้เสื้อผ้าเคลือนที่
Langjökull (ลอง-โจ-กุล)
ที่นี่ถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งเลยที่ต้องมาทำในช่วงหน้าหนาว คือการสำรวจธารน้ำแข็งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาะไอซ์แลนด์ โดยในการสำรวจนั้นไม่ใช่ง่ายๆจะหลับๆในรถ ลงจอดแล้วถ่ายรูปได้เลย แบบนั้นไม่ได้ เพราะที่นี่ต้องใช้ความพยายาม ต้องมีการเปลี่ยนยานพาหนะถึงสองแบบคือ เราจะต้องนั่งรถบัส 4×4 ล้อใหญ่ๆลุยเข้าไปที่ Basecamp เพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้นเมื่ออุปกรณ์ครบครันและอบอุ่นแล้ว เราถึงจะต้องขับ Snowmobile เข้าไปกัน กิจกรรมนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้า ไปให้ทันแสงแรกพอดีที่ประมาณ 10 โมง และใช้เวลาจนหมดวันที่ประมาณ 4 โมงพอดี กิจกรรมนี้เลยต้องถูกแยกออกมาพิเศษเลยวันนึง
รถของเรามาจอดเพื่อนเปลี่ยนขึ้นรถลุยน้ำแข็ง 4×4 คุณน้าคนขับพาเราออกเส้นทาง กันนิดนึง เส้นทางก็ไม่ยากมาก แต่เขย่าๆได้อารมณ์เหมือนยิ่งเข้าใกล้พื้นผิวดาวอังคารเข้าไปทุกทีๆ 555 วิวจากหน้าต่างของเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากที่ดำๆเป็นดินๆ ก็เริ่มขาวขึ้นๆ จนเหลือแต่หิมะไม่เห็นอะไรเลย
มาถึง Basecamp คุณพี่จับเราแต่งตัวครบเซ็ตแทบไม่มีชิ้นส่วนของเนื้อหนังออกมาสัมผัสอากาศได้เลย หัวจรดเท้าปกปิดเรียบร้อยมาก พี่ไกด์ตบหัวที่หมวกกันน๊อคสองที เอ้า…พร้อมแล้วไปสำรวจดาวอังคารได้!!!
อยากจะซ้อนพี่คนนี้ได้มั้ยคะ…ไม่ได้จ้าา พี่คนนี้จะเป็นหัวขบวนคันแรกให้เรา ว้าาาเสียดายจังง 5555 อยากจะแกล้งขาแพลงกลางหิมะแล้วซ้อนพี่เค้าแทนเลยจ้า มารยาหญิงต้องมากันจริงๆ!
และแล้วก็มาถึงไคล์แมกซ์ คือการจับคู่สองคนพร้อมกัน แล้วคาราวานจากดาวโลกไปสำรวจพื้นผิวดาวอื่นกัน!! พื้นที่สีขาวกว้างไกลมาสุดลูกหูลูกตา มีแสงผ่านเมฆมาเล็กๆทำให้เราเห็นธารยอดเขากลางธารน้ำเเข็งที่อยู่ตรงหน้า มือก็ต้องขับ รูปก็ต้องถ่ายทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ ปากก็ได้แต่พึมพัม สวยเนอะ สวยๆ
สำหรับการมาทัวร์ธารน้ำแข็งแบบนี้สามารถติดต่อได้ที่ Reception โรงแรมที่อยู่ได้เลยเพราะว่ามีบริษัทเดียว เรามาเปลี่ยนถ่ายรถกันที่ลานจอดรถร้านขายของที่ระลึกที่เดียวกันกับบริเวณนำ้ตก Gullfoss เลย
และแล้วก็มาถึงสิ่งที่ทุกคนถามถึง แสงเหนือ!!!
สำหรับทริปเราแสงเหนือไม่ได้ออกมาให้เห็นชัดเจน คงเป็นเพราะพกดวงมาไม่พอ มาให้เห็นแค่ระดับ 3 (ถ้าชัดๆเด่นๆแบบที่ถ่ายมาเป็นคลิปและมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้จะอยู่ที่ระดับ 9)
และแสงเหนือไม่ออกมาให้เห็นได้ง่ายๆฉันใด การเดินทางไปหาแสงเหนือก็ไม่ง่ายฉันนั้น!!!
วันนี้จะมาเล่าวิธีการเดินทาง เลือกทัวร์ไปหาแสงเหนือให้ฟัง
ถ้าหากว่าอยู่ใน เรคยาวิค ที่ reception ในโรงแรมจะมีป้ายบอกไว้เลยว่าวันนี้พยากรณ์มาแล้วว่ามีโอกาสหรือไม่ (โอกาสที่ว่าก็เช่น ฟ้าปิด เมฆมาก วัดหาคลื่นไม่ผ่านมาแถวนี้ว่ากันไป) ถ้าไม่มีโอกาสก็จะไม่มีทัวร์ไหนออก นอนเถอะออกไปก็เสียเวลา สำหรับเราโชคดีมีโอกาสเห็นได้ 1 วันถ้วน!! พอรู้ตัวปุ๊ป ก็รีบจองปั้ป “ไปคะพี่ หนูไป ดึกแค่ไหนก็ไปมารับด้วยค่ะ!” เวลา 4 ทุ่มกว่า รถจากทัวร์ก็ไปรับมาส่งที่ท่ารถพอดี
เค้าจะพาเรามาส่งที่ Bus Terminal ของบริษัท Gray Line จะอยู่ตรงห้างใหญ่ใจกลางเมืองเรคยาวิค เดินเข้าไปซื้อตั๋วราคา ISK6400 (ตกที่ประมาณ2168 บาท แล้วแต่ค่าเงิน)
พร้อมแล้วก็ขึ้นรถกันเล้ยยยย
การซื้อทัวร์แบบนี้จะมีสโลแกนหลักๆในใจของเค้าไว้เลยว่า เมื่อซื้อแล้วทุกคนต้องได้เห็นแสงเหนือ โดยกติกาก็คือ รถจะวิ่งให้เวลาเต็มที่ทั้งหมดคืนละ 5 ชม. ขับไปเรื่อยๆถ้าวันนี้ไม่เจอ สามารถกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ถ้ายังใช้ชื่อเดิม คราวหน้าขึ้นฟรีไปเล้ยยย…จนกว่าชีวิตนี้จะเห็นไกด์บอกว่ามาเลยมาเรื่อยๆเลยไม่มีหมดอายุ หมดอายุก็เมื่อได้เห็นแสงเหนือแล้ว หรือเจ้าของชื่อตายเท่านั้นเอง555
โดยจะมีไกด์และคนขับคอยติดต่อสื่อสารกับรถคันอื่นๆไปด้วย ส่งสัญญาณว่าตรงนี้มี ตรงนั้นมีถ้าไม่มีก็ขับไปเรื่อยๆ วิ่งตามพยากรณ์อากาศไป หน้าที่ของเรานะหรอ? หลับเอาแรงรอเค้าเรียกลงอย่างเดียว555 สำหรับเรารถออก 5 ทุ่ม กว่าจะได้เห็นก็ตี 4 นู่นเลยจ้า
แล้วแสงเหนือมันเป็นยังไง??
เราไปยืนรอๆ เกือบสองชั่วโมงตรงจุดที่ว่า มันมาแน่ๆๆ ขาตั้งกล้องพร้อม เสื้อกันหนาวพร้อม ใจพร้อม รอไปคะ!!!!5555
และแล้วน้องก็มาจริงๆ ระดับแสงที่เราเห็นจะเป็นระดับที่ 3 คือถ้ามองจากตาเปล่าจะมองเห็นเป็นแสงฝ้าๆขาวๆ บนฟ้า ที่เคลื่อนที่ไปมาได้ แต่ถ้าถ่ายจากกล้องเก็บแสงประมาณสัก 10 วินาที ก็จะเห็นเป็นแสงเขียวๆแบบที่เราเห็นๆกันนั่นแหละ
ถามว่าคุ้มค่ามั้ยกับการได้ไปดูแสงเหนือ สำหรับเราเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ มันเป็นการฝึกสกิลโจทย์ที่ยากโจทย์นึงเลย เวลาที่น้อยแล้วเราก็ไม่ได้มาบ่อยๆ ในใจก็ได้แต่ท่องว่าต้องได้ ต้องได้ และแล้วเมื่อภาพสีเขียวๆมันปรากฏบนจอกล้องเราก็กรี๊ดแตกกันทั้งวง ไม่เสียเที่ยวละเว้ยยย…พอได้ภาพมาแล้วมันภูมิใจ ปลิ้มปริ่มบอกไม่ถูกเลยจริงๆ และไม่พอมันเหมือนเป็นการวัดใจเพื่อนหรือคนที่ไปด้วยเหมือนกัน พอเราอดทนรออะไรนานๆ แล้วมาสุดท้ายเราได้เห็นมันจริงๆ คนข้างๆที่อดทนรออยู่ด้วยทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เหมือนได้ผ่านอะไรมาด้วยกันเป็นอีกเรื่องที่น่าจดจำไปอีกนาน
แต่ก็คงจะดีไม่น้อยที่สักครั้งในชีวิตจะได้เห็นแบบกับตา วิ่งวนๆอยู่บนฟ้า สัมผัสระดับ 9 ด้วยตาของเราเอง ใครได้เห็นมาแล้ว เอาภาพหรือวีดีโอมาฝากกันด้วยนะ
เป็นยังไงบ้างไอซ์แลนด์ในฝันของใครหลายๆคน สำหรับเราไอซ์แลนด์ยังเหลืออีกหลายส่วนมากๆ ที่ต้องไปค้นหา หลายคนดูภาพก็ของขึ้นแล้ว เอาจริงๆพอได้เห็นทุกอย่างตระหง่านอยู่ด้านหน้า มันอธิบายได้มากกว่าตัวหนังสือหลายพันตัวเลย ดูรีวิวแล้วลองออกไปหาไอซ์แลนด์ของตัวเองกันด้วยนะ
ที่สำคัญก่อนออกเดินทางอย่าลืมสิ่งสำคัญที่สุด มากกว่าโรงแรม มากกว่าตั๋วเครื่องบิน นั่นคือประกันชีวิต เราเลือกใช้ประกันที่คุ้มครองเราได้ในแทบทุกเรื่อง อย่าง ประกันคนกล้า จาก FWD ประกันชีวิต ที่กล้าคุ้มครองทุกกิจกรรมและความเสี่ยงไม่ว่าจากอุบัติเหตุหรือกีฬาผาดโผน FWD ก็คุ้มครองให้และด้วยเงื่อนไขที่น้อยที่สุดไม่จุกจิก หยุมหยิม ทำให้เรามั่นใจและสบายใจขึ้นมาอีกเปราะนึงว่าถ้าเกิดปัญหา ประกันที่ใครมองว่าคุ้มครองไม่จริงและเรื่องมาก FWD จะสามารถช่วยเหลือเราได้จริงๆ ในยามฉุกเฉิน แค่นี้ก็ออกไปกล้าและใช้ชีวิตกันได้อย่างเต็มที่แล้ว :)
มาถึงช่วงแถมตามสัญญาเราเก็บภาพสวยๆจากเมืองที่ไปแวะพักเครื่องมาฝาก ทั้งนอร์เวย์ และ เดนมาร์ค (แอบบอกไว้ก่อนว่า เดี๋ยวมีเดนมาร์คแบบเต็มอิ่มอีกชุด แบบละเอียดพร้อมเมืองข้างเคียง ขอแปะโป้งไว้ก่อนนะ) รอบนี้เอาภาพสวยๆไปยั่วน้ำลายกันก่อนจ้า
หลังกลับจากไอซ์แลนด์เรามีเวลาเดินเล่นที่นอร์เวย์ และเดนมาร์คอีกอย่างละประมาณ 4- 5 วันตามประสาแก๊งค์สาวโสดแบบชิวๆ อยากไปไหนก็ได้ เลยเก็บภาพมาฝากกันซักหน่อย เดี๋ยวไว้มีโอกาสจะมาเม้าท์ให้ฟังนะว่า Copenhagen เมืองแห่งสีสันและการออกแบบของยุโรปนั้น มันดีงามและชิคมากแค่ไหน ยอมใจชาวสแกนดิเนเวียนแบบเท่ๆ ทั้งหลายเลยทีเดียว
Vigeland Sculpture Park,oslo Norway
