พอพูดถึงเวียดนามเหนือ ภาพแรกที่แว้บมาคงไม่พ้น “ฮานอย (Hanoi)”
เมืองหลวงเก่าแก่ที่มีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอยู่รวมกับ ร้านคาเฟ่ฮิปๆ และตึกรามบ้านช่องสไตล์ฝรั่งเศสและมีบุ๋มจ๋าแสนอร่อยให้กิน
เป็นเมืองที่ Backpacker จากทั่วสารทิศ จะต้องแวะเวียน และจดที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ห้ามพลาด โดยมิได้นัดหมาย จะเดินไปไหนในเมือง พอหันซ้ายก็ตาฟ้าผมทอง อุ้ย! หัวขวาก็เกาหลีกล้ามโต โอ้ยยย งานดี งานละเอียดทั้งนั้น 
เราเดินทางกับไทย แอร์เอเชีย เจ้าประจำ ประหยัดและสะดวกสุดแล้วสำหรับเรา คือนางโปรโมทว่าบินตรงสู่อาเซียนมากที่สุดงี้ เวลาออกจากดอนเมืองเช้าตรู่ 06.45 ไปถึงตอนเช้า 08.30 เวลาบินไฟลท์เช้าๆ แบบนี้ เราชอบสั่งอาหารกินบนเครื่องเลย นอกจากจะอร่อยถูกปากแล้ว พอลงเครื่องปุ้ป จะได้มีแรงออกไปลุยได้เลย ไม่เสียเวลาเที่ยวกันซักหยด
รอบนี้เรามากัน 4วัน กะซึมซับเวียดนามให้เต็มที่ แต่ถ้าใครมีเวลาน้อยหน่อย 3วัน 2คืน ก็ชมฮานอยได้จุใจ แถมทริปออกไปชมธรรมชาติชิวๆ นอกเมืองได้เหมือนกัน!
ส่วนจากสนามบินเข้าเมืองนั้น วิธีที่ส่วนมากฮิตๆกัน คือ ออกไปนั่งรถตู้ ที่เป็นราคาเหมา ใช้เวลาประมาณ 45นาที คนละ 3.5usd ซึ่งแพง! ด้วยความงกระดับเราแล้ว เดินไปนั่ง Local Bus ซิจ้ะ ขึ้นสาย 7 หรือ 17 อะไรมาถึงก่อนก็โดดขึ้นอันนั้นแหละ คนละไม่ถึงดอล!
ตอนแรกก็กังวลเบาๆ เพราะสภาพรถคือ ปอ.เมืองไทยนั่นเอง มีแอร์ แต่ในรถไม่มีข้อมูลใดๆ แถมไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ ก่อนขึ้นรถ เราก็ยื่นที่อยู่โรงแรมให้ดู เขาก็พยักหน้า แล้วไม่ว่าไรต่อ เราก็นั่งตุ้มๆต่อมๆกันไปเกือบชั่วโมง แบบกลับตัวก็ไม่ได้ ให้ไปต่อไปก็ไปไม่ถึง…
และแล้วสวรรค์ก็มาโปรด เมื่อพี่กระเป๋ารถเมลล์คนดีคนเดิม เดินมาเรียก ใช้ภาษามือสื่อสารว่า ถึงป้ายที่ต้องลง เพื่อต่อรถละนะ พร้อมเขียนสายที่ต้องเปลี่ยน และชื่อสถานีที่ต้องไปลงให้เสร็จสรรพ โอ้ย! ประทับใจ สรุปก็คือ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเพื่อเข้าที่พัก นานกว่าหน่อย แต่สนุกกว่าเย้อะ
ด้วยความที่ “ฮานอย” เป็นเมืองเล็กๆ ที่พัก และที่เที่ยว สามารถเดินถึงกันได้ คนส่วนมากจึงไม่นิยมขึ้นแท็กซี่ แต่ถ้าใครมากับผู้ใหญ่ หรือเด็กเล็ก แท็กซี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่สะดวก ไม่แพง(พอๆกับบ้านเรา) และไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
เราแนะนำให้ใช้ 2 เจ้า คือ Taxi Group คันสีขาว และ MaiLinh คันสีเขียว จากที่ขึ้นมา เขาก็กดมิเตอร์ทุกครั้ง และไม่ขับอ้อม (เทียบกับที่เปิด GPS ตาม) หรือใครอยากสายแว๊น ก็มีร้านมอเตอไซต์ให้เช่าทั่วเมือง ขอเตือนว่า จริงๆแล้วมันผิดกฏหมายของเวียดนามนะ ใบขับขี่สากลใช้ไม่ได้ที่นี่ แต่อย่างว่า ฝรั่งหัวทอง ขับกันเกลื่อนเมือง ก็ไม่เห็นโดนจับนะ 555
Where to stay
แถว Old Quartier คือย่านใจกลางเมือง แหล่งกิน เที่ยว ช้อป ดื่มของทั้งนักท่องเที่ยว และชาวฮานอย ซึ่งที่พักก็จะกระจายตัวไม่หนีกันในละแวกนี้ ราคาของห้องพักรวม (Bunk Bed) มีแอร์ มีน้ำอุ่น ไม่มีอาหารเช้า จะตกประมาณ 5-10 usd คือถูกใจหาย ถูกจนตอนแรกที่จะกดจองนี่กลัวเลย เอ๊นี่จะโดดฉุดมั้ยน้า
What to see
- Zone Old Quarter
แถวย่านที่พักยอดฮิตนั่นเอง ถ้าเป็นคืนวันศุกร์-อาทิตย์ จะมี Night market ก็อารมณ์ตลาดนัดบ้านเราอะแหละ ขายเสื้อผ้า และของใช้จุกจิก อย่าพลาดการเดินเล่นในซอย “Ta Hien” เด็ดขาด มันหาไม่ยาก แค่เดิมตามคนไปเรื่อยๆ ยังไงก็เจอ! เพราะเป็นเส้นที่รวมร้านอาหาร ผับ และบาร์ไว้ด้วยกัน คึกคักสุดๆ ก็นั่นแหละแก ตาฟ้า กล้ามโต ผมทองแถวนี้ก็เย้ออออออ
ซึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาด ต้องกิน ก็คือออออ “Beer Hanoi” โอเค…มันไม่ใช่อาหาร แต่มันดี และถูกมากกกก! ไม่ถึง 10บาท นี่เบียร์หรือน้ำเปล่า น้ำตาจะไหล ใครชอบเบียร์เบาๆ กินลื่นคอ เตรียมพุงยื่นบวมเบียร์กลับบ้านได้เลย โดยหาทานได้ทั่วไปเลย ร้านที่ขายเป็นแก้ว คิดว่าผสมน้ำมาแน่นอน จืดจางเหลือเกิน 555
อีกอย่างที่แนะนำ คือ ร้านปิ้งย่าง สารภาพว่าเราหลวมตัวเลี้ยวเข้าไปกิน เพียงเพราะนางติดป้ายว่า FREE BEER! 5555 แต่มันก็อร่อยจริงแหละ จะมาให้เลือกเป็นชุดๆ หมู ไก่ เนื้อ ทะเล ที่หมักพริกไทย กระเทียม และเครื่องเทศสารพัดมาแล้ว รวมๆมากับผัก และขนมปัง
แม้น้ำจิ้มจะไม่แซ่บสะแด่วแบบไทยๆ แต่ความโหด คือ นางให้มาการีน มาชุดละกระปุก แบบแกะใหม่ เต็มๆกระปุก….ตอนแรกๆก็บ่นกัน บ้ารึเปล่า เสียดายของ ใครจะใช้หมด….ซักพัก หมดจริงวะ ควักเติม ควักทาขนมปังกันอร่อยแบบลืมอ้วนไปเลย!
- Hoan Kiem Lake / ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม / ทะเลสาบคืนดาบ
เริ่มต้นเดินเล่นจากศูนย์กลางของเมือง ในย่าน Old Quarter ที่นี่เปรียบได้กับสยาม ซึ่งที่นั่งรอบๆทะเลสาบเต็มไปด้วยครอบครัว คู่รักที่มานั่งชมวิว มาทานข้าว หรือจะมาวิ่งออกกำลังกายก็ได้ อย่างเราเดินๆอยู่ ก็เจอชมรมลีลาศ ใส่ชุดกันจัดเต็ม มาเปิดฟลอร์เต้นรำโชว์ลีลาถึงใจกันในคืนวันศุกร์ เฉยเลย
เอาเป็นว่าห้ามพลาด ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศ วิถีชีวิตแบบชาวเวียดนามแท้ๆ จะผ่านมาตอนเช้า สาย บ่าย เย็น หรือตอนไหนๆ รับรองว่า ได้ถ่ายรูปสวยๆ และบรรยากาศดีๆ ไม่ซ้ำกันแน่นอน
ส่วนตรงกลางที่เห็น เป็นหอคอยโบราณ ชื่อ “ท้าปสั่ว” (Tháp Rùa) แปลว่า ตะพาบน้ำ ที่มาของตำนาน และชื่อทะเลสาบนั่นเอง ส่วนตรงปลาย ก็มี “วัดหง็อกเซิน” และสะพานไม้สีแดงสดอย่าง “สะพานเทฮุก” สัญลักษณ์ของเมืองฮานอยด้วย
- Ngoc Son Temple / วัดหง็อกเซิน
ด้านเหนือของทะเลสาป จะมีวัดโบราณบนเกาะเล็กๆ สามารถเดินข้ามจากฝั่งไปยังตัววัด โดยข้ามสะพานเทฮุก ที่มีความหมายในภาษาเวียดนามอันไพเราะ ว่า “สะพานแสงอาทิตย์ยามเช้า” ซึ่งเป็นสะพานไม้สีแดงสด ที่เห็นละอดไม่ได้ ต้องยกกล้องขึ้นมาถ่าย
ในตัววัดนั้นมีเต่าศักดิ์สิทธิ์อาศัย อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ฉะนั้นชาวเวียดนามเอง ก็มักจะเดินทางมาสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแห่งนี้ กันเป็นประจำ
ค่าเข้าชม : 20,000 ดอง
- St. Joseph Cathedral
ถ้าเดินลงมาทางใต้ของเมืองเรื่อยๆ จะพบโบสถ์โบราณทรง Neo-Gothic ที่ตั้งคู่กับฮานอยมากว่าร้อยปี โดยลานด้านหน้าถูกใช้เป็นที่ทำกิจกรรมหลากหลาย อย่างถ้าผ่านไปเย็นๆ ช่วงที่โรงเรียนรอบๆเลิก จะโดนกระหน่ำด้วยฝูงเด็กนักเรียน แต่ถ้าตอนค่ำหน่อย จะเจอชาวเสก็ตบอร์ด มาเต้นฮิปฮอปกัน อะไรงิ
ถ้าใครเดินเล่นเหนื่อยแล้ว มองหาคาเฟ่นั่งพัก ต้องอย่าพลาดชิม “กาแฟไข่ (Egg with Coffee)” เป็น เมนูชื่อดังของที่นี่ ตอนแรกกลัวมาก คิดภาพว่าเหมือนไข่ลวก ต้องคาว และประหลาด แต่จริงๆแล้ว มันคือกาแฟดำ ใส่คัสตาร์ดครีมแทนฟองนม ดื่มพร้อมกันเหมือนกิน Tiramisu เลย อีกอย่างที่ลองสั่งมาละชอบมาก คือ “ช็อคโกแลตกับโยเกิร์ต”
กินละสดชื่นมากๆ เข้ากันจนกลับบ้านมาทำตาม 55 ละที่จริงในเมนูเขามี ไข่ใส่เบียร์ ไข่ใส่เหล้า อะไรงิด้วยนะ ใครได้ลองแล้วมาบอกทีเน่อ อ้อ! จริงๆมีหลายร้านที่ขายกาแฟไข่ แต่เราไปโดนกันมาที่ “Café Giang” แค่ประมาณ 5 นาทีจากโบสถ์ บรรยากาศดี ราคาไม่โหดร้าย แก้วละ 15,000 – 20,000 ดอง แถมลูกเจ้าของร้านหล่อด้วย อิ_อิ
ถัดกันกับร้านกาแฟ ก็มีร้านข้าวที่คนเยอะตลอดเวลา เช้าจรดเช้าอีกวัน ได้แก่ร้าน “Xoi Yan” ขายข้าวหมก ที่เลือกเครื่องได้หลายอย่าง ทั้งหมูหวาน หมูหยอง ไข่ลูกเขย และอื่นๆ
ซึ่งจริงๆเขาให้เลือกระหว่างข้าวสวย หรือข้าวเหนียว แล้วเสริ์ฟมาพร้อมกับอาจาด ที่กินกับหมูสะเต้ะ โรยหน้าด้วยหอมเจียว อือหืออ แซ่บบบบบ! ขอยกความดีความชอบให้กับหมูหวานค่ะ นุ่มละลาย สลายไปกับผนังปาก ถูกด้วยที่สำคัญ ราคาเริ่มต้นจานละ 30,000 ดอง
- Zone French Quarter
เนื่องจากเวียดนาม เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส จึงมีโซนนึง ที่เดินถัดลงมาทางใต้ของทะเลสาปเรื่อยๆเข้าไปปุ้ป รู้สึกคนละโลกทันที ถนนจะกว้าง สะอาดตา เรียงรายด้วยโรงแรมหรู และห้างร้านในตึกทรงโคโลเนีย
- Hanoi Opera House
ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงดนตรี คอนเสิร์ต และงานใหญ่ๆหลายอย่าง ตกแต่งแบบฝรั๊ง ฝรั่ง
- Vietnamese Women’s Museum
แปลตรงตัวว่า พิพิธภัณฑ์สตรีเวียดนาม เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ ที่ถูกเล่าผ่านมุมมองของผู้หญิง ว่าในแต่ละยุค ต้องใช้ชีวิตยังไง มีบทบาทหน้าที่อะไร ทั้งในงช่วงสงครามที่ต้องออกรบเช่นเดียวกับผู้ชาย
ทั้งช่วงสงครามสงบ แล้วต้องแบกหาม ออกค้าขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ได้เห็นว่าเขาแต่งตัวกันยังไง ถึงแม้ว่าการจัดแสดง จะหน้าตาดูธรรมดา ติดเฉยไปซักหน่อย แต่ก็น่ารักดี ค่าเข้าก็ขำๆ 30,000 ดอง
ระหว่างเดินชมตึกสวยๆในโซนนี้ไปเรื่อยๆนั้น เราก็สะดุดตากับสถานที่นึง แบบรถมอเตอไซค์เลี้ยวเข้าไปเยอะมาก เลยยื่นหน้าเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นร้านขายไอศกรีม! ที่ต้องยืนต่อแถวกันซื้อแบบในโรงเรียนประถม
ซึ่งรสชาติไอศกรีมนั้นธรรมดาไม่โดดเด่นอะไร แต่พิเศษที่โคน….โคนทำจากทองม้วนเว้ยยยยย อร่อยมากกกก น่าเอามาทำขายแข่งที่ไทยมั่งเน้อ
- Zone West Side
ซึ่งจะฉีกออกมาจากสองที่ด้านต้นหน่อย จะเดินก็ได้ แต่ส่วนตัวคิดว่านั่งแท็กซี่มาเหมาะกว่า ไม่แพงเลยจริงๆ จากที่พักเรา ย่าน Old Quarter แค่ 20,000 ดองเอง
- Ho Chi Minh’s Mausoleum / สุสานลุงโฮจิมินห์
ภายในอาคารสี่เหลี่ยมหน้าตาคุ้นเคยนี้ เป็นที่เก็บรักษาศพของลุงโฮ ผู้นำที่เป็นที่เคารพรักของชาวเวียดนาม ซึ่งเปิดให้คนทั่วไปเข้าได้ทุกวัน ในช่วงเช้า โดยปิดวันจันทร์ และวันศุกร์ แต่ขอเตือนภัยไว้ก่อนเลยว่า อย่าไปวันเสาร์-อาทิตย์ เด็ดขาด! อือหือออ พวกเราไปวันเสาร์ เห็นคิวแล้วเข่าอ่อนเลย แบบว่ายาวมาก
จินตนาการถึงกำแพงรอบวัดพระแก้วดู ประมาณว่าปากทางเข้าสุสาน อยู่ตรงศิลปากร แต่หางคิวอยู่แถวๆวัดแจ้ง วัดโพธิ์ พอถามเจ้าหน้าที่ ว่ามีงานอะไรรึเปล่า หรือคนเยอะแบบนี้ตลอด เขาก็บอกว่า เป็นปกติของวันหยุด รออย่างน้อยๆน่าจะ 2ชั่วโมงนะ…..พวกเราเลยขอบาย ได้แต่ทำใจ และเดินชมวิวรอบๆแทน แต่จริงๆที่นี่ไม่เสียค่าเข้านะ
- Ho Chi Minh Museum
เดินต่อมาจากหลุมศพ ก็จะเจอพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมรูปถ่าย ของใช้ จดหมาย และทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับลุงโฮ
แม้ภาษาที่ใช้หลักๆจะเป็นภาษาเวียดนาม คือมีบางส่วนที่ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับเลย เดินดู ละก็ต้องมโนเอาเองว่าเกี่ยวกับอะไร 5555 แต่จริงๆเขาจัดของ จัดแสงสวยดีนะ ค่าเข้าชม 20,000 ดอง
- Tran Quoc Pagoda / วัดเจดีย์เตริ่นกว็อก
จากนั้น เราเลือกนั่งแท็กซี่มา 30,000 ดอง หรือใครจะเดินน่าจะประมาณ 15 นาทีจากหลุมศพ วัดนี้ตั้งอยู่บนแหลม ยื่นเข้าไปในทะเลสาบ โดยขึ้นชื่อว่ามีเจดีย์เก่าแก่ ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม โดยเจดีย์สีชมพูอมส้ม ไล่ระดับเป็นชั้นๆขึ้นไปประมาณ 10 ชั้น และมีชายคายื่นออกมาคลุมแต่ละชั้น ซึ่งแต่ละชั้นนั้น ก็จะมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์ ดูละเอียด มีเอกลักษณ์ บรรยากาศโดยรอบของวัด ก็มีความร่มรื่นดี ด้านนอกมีคนตกปลาด้วย ไม่เสียค่าเข้าชม
แต่ที่วัดมีปิดพักเที่ยงนะ อย่าแป้กไปตอน 11.30 -13.30 แล้วแถวนั้นก็ยังมีพวกร้านอาหาร และคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนเรือให้นั่งชิลล์ได้อีกด้วย
- Temple of Literature – Van Mieu / วิหารวรรณกรรมวันเมียว
วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลีไทโต เมื่อพันกว่าปีก่อน และต่อมาถูกใช้เป็นโรงเรียน สำหรับพวกขุนนาง จนตอนหลังกลายเป็น มหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม โดยบริเวณภายใน ถูกแบ่งออก 3 ชั้น หน้าตาคล้ายๆกัน คือ เป็นลานกว้าง มีทางเดินปูด้วยหิน มีสวนร่มรื่น และมีบ่อน้ำสองข้างทาง
เมื่อลอดซุ้มประตูทางเข้าใหญ่เข้าไปข้างใน จะสามารถสังเกตได้ชัดเจนเลยว่า ลักษณะการวางแผงผัง และโครงสร้างของวัดนี้ดูมีความเป็นจีนอยู่เยอะ ซึ่งก็คงได้รับอิทธิพลมาในช่วงที่ภายไต้การปกครองของจีนนั่นเอง ที่นี่ มีนักเรียนมีเป็นไกด์อาสาให้ฟรีด้วยนะ น่ารักมาก ค่าเข้าชม 20,000 ดอง
สำหรับเราฮานอยเหมาะมากสำหรับพวกที่วันลาเหลือน้อยในช่วงใกล้ปลายปีแบบนี้ เพราะ 3 วัน2 คืนก็มาชิคที่ฮานอยได้ ที่มีอาหารอร่อย เบียร์ถูก ฝรั่งเยอะ และมีสไตล์เป็นของตัวเอง มาเถอะฮานอยเป็นอีกที่ ที่ดีงาม เบียร์10บาทนี่ไม่รู้จะหาซื้อจากที่ไหนในโลกนี้ได้แล้วเนี่ยยยยย! เอาเลยสิ นี่ก็แบ่งเป็น 3 โซนให้แล้วนะ จะรออะไร 3โซน 3 วัน ยังไงก็เหลือเฟืออออออ :)
Suggested Plan
แพลนเที่ยวแบบคร่าวมากถึงมากที่สุด ที่อยากแนะนำ คือ
Day 1 มาถึงตอนเช้า เอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมก่อน แล้วเดินหาซื้อทัวร์ จากนั้นเดินวนเวียน ชมเมือง ชมวิถีชีวิตอยู่แถว Old Quatier และ French Quatier มีอะไรให้ดู เพลินๆทั้งวัน เดินไม่เหนื่อยมาก
Day 2 ไป 1-day Trip แบบชิวๆ สัมผัสธรรมชาติรอบนอกฮานอย แล้วค่อยกลับมาจิบเบียร์ลื่นคอ และ Enjoy Night Life ที่ถนน Ta Hien
Day 3 รีบตื่นแต่เช้าออกไปเคารพศพลุงโฮ ประธานาธิปดีที่เป็นที่รักของคนเวียดนาม และทัวร์ไหว้พระรอบๆเมือง
Day 4 จะเลือกไป 1-day Trip อีกรอบก็เก๋ หรือจะอยู่จิบกาแฟ เดินตามร้านคาเฟ่สวยๆนั่งเขียนโปสการ์ดไปด้วย ส่องฝรั่งไปด้วยก็เพลินเหมือนกัน
Budget
เรื่องงบประมาณ เราใช้แบบกิน นอนสบาย หมดแค่ 6,000 กว่าบาทเอง แต่ใครขาช้อป หรือชอบกิน อาจจะบวกเพิ่มไปอีกนิดก็ได้ โดยรวมแล้วค่าครองชีพพอๆกับบ้านเรา
ยังไงก็ลองจัดสรรเอา ตามแนวที่ตัวเองชอบนะ ใครเน้นลุย อาจจะตัดในเมืองออก แล้วไปลุยๆเพิ่มก็ได้ หรือใครมากับผู้ใหญ่ อาจต้องเผื่อเวลานั่งพักเหนื่อยเพิ่มขึ้นด้วย แต่รับรองว่า ฮานอย ไม่ทำให้ผิดหวัง เป็นอีกเมืองที่มีเสหน่เฉพาะตัวให้สัมผัสทุกย่างก้าว ไปเที่ยวกันเถอะ!
