Take a look around HEAVEN, South Island New Zealand

Take a look around Heaven, รีวิวเดียวพาเที่ยวทั่วสวรรค์!!!
เบื่อเมือง เบื่อรถ เบื่ออากาศ ฝุ่นควัน ออฟฟิศ ชีวิตแบบรูทีน ปิดหน้าจอแล้วออกมา ดิสอิส เดอ เหวววววว๋ เค๋ ชั่นไทม์กันได้แล้ว หลายคนสูดอากาศ กทม.มาหลายปีติดๆกันบอกเลยว่าร่างกายของเราต้องการ Detox กันบ้าง มาสูดออกซิเจนให้เต็มปอด ดื่มน้ำตักจากลำธาร กินแซลมอนสดๆจากบ่อ และเข้าใจหัวใจหมาว่าเอาหน้ารับลมนอกรถมันมีความสุขยังไง ถ้าพร้อมโกยเสื้อผ้า คว้ากระเป๋า หยิบใบขับขี่แล้วไป

Detox ชีวิตกันที่ เกาะใต้, นิวซีแลนด์!!!

งานนี้เราแพ็คไปทั้งครอบครัวเช่นเคย เหมือนเป็นธรรมเนียมสำหรับบ้านเราไปแล้ว พอกลับจากทริปเดิมทีไร ก็จะมีคำถามขึ้นมาทันทีว่า ปีหน้าไปไหนดีน้าาาา… ข้อแม้ของเราอย่างเดียวคือ ขอไม่ไปกับทัวร์ ภาระหนักจึงตกมาอยู่ที่พวกเราเองคือต้องหาประเทศที่สวย เที่ยวง่าย ไม่ต้องผจญภัยเยอะ สามารถไปเที่ยวกันเองได้สบายๆ ปีใหม่วนมาอีกรอบ หาวันหยุดที่ตรงกันได้แล้วพวกเราก็เห็นพ้องต้องกันว่า ทริปต่อไป เกาะใต้ นิวซีแลนด์ เลือกการเดินทางแบบ Roadtrip เป็นทางเลือกที่จะทำให้เราสำรวจเกาะสวรรค์แห่งนี้ได้อย่างเอาแต่ใจที่สุด และที่สำคัญคือทำได้ง่ายเพราะว่า นิวซีแลนด์กับเรานั้นขับรถข้างเดียวกัน

การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาทั้งหมด 10 วันเริ่มต้นที่ ไคร์สท์เชิร์ช จบ ที่ ไคร์สท์เชิร์ชนั่นแหละ
จุดพักจะมีด้วยกันทั้งหมด 7 เมือง

Christchurch – Punakaiki – Franz Josef – Wananka – Queenstown – Lake tekapo – Christchurch

การเตรียมตัวมาเที่ยวนิวซีแลนด์ บอกไว้เลยว่าชื่อฤดูมันเชื่อไม่ได้! เราไปช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่ใครๆก็บอกว่าโอ้ยยย กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ไม่หนาวหรอกสบายๆ ไม่ต้องเอาเสื้อหนาวไปเยอะ บอกเลยว่ามันไม่จริง มรสุม ฝน ลมเย็นๆเนี่ยมาได้ทุกเมื่อ แล้วชาวไทยที่มีหน้าหนาวปีละ 5 วันอย่างพวกเรา รับรองเจอลมปะทะหน้าเข้าไปหน้าชา ปากม่วงกันไปเเถวๆแน่ๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะบอกว่าเข้าหน้าไหน เอาแจ๊คเก็ทไปก่อนเพราะร่างกายที่อบอุ่นสำคัญที่สุด 

**ที่นี่จะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิในช่วงเดือน ตุลาคม อุณหภูมิจะไต่ลำดับไปเรื่อยๆหน้าร้อนจะอยู่ช่วงเดือนธันวาคม และกลับมาเป็นหน้าหนาวอีกครั้งในเดือนเมษายน**

เนื่องจากคราวนี้เราจะใช้การขับรถเป็นหลักในการท่องเที่ยวรอบๆเกาะ ก่อนมาเราได้ทำการจองรถ เพื่อทำการจองรถเช่าไว้ เครื่องแลนด์ลง Christchurch ปุ๊ปพุ่งตัวไปที่เค้าท์เตอร์ Hertz ที่หาไม่ยาก ออกจากประตูมาก็เจอเลย (เรื่องราคาไม่ต้องห่วง อ่านให้จบเดียวเราสรุปให้ตรง Budget น้ะ) เรามากันทั้งหมด 6 คนจึงได้รถแวน 7 ที่นั่งมาเป็นพาหนะคู่ใจตลอดทริปนี้ คาดเข็มขัดพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย!!

Tips.มีจุดนึงที่เราคิดว่าพลาดและไม่อยากให้สาวก Roadtrip คนอื่นๆทำตามคือ อย่างกตอนเช่า pocket wifi เราตัดสินใจเช่า pocket wi-fi แบบมีลิมิตที่ 1 gb มา เพราะกะว่าค่อยไปพึ่ง wi-fi ที่โรงแรมเอา ไม่ได้เลยจ้าาาาาา เค้าขี้งก wi-fi กันมากกกกกก ให้ห้องละ 500 เมก เครื่องละไอดี คือแบบต้องตบตีกันในบ้านเพื่อแย่งwi-fi กัน รูปก็ไม่ได้อัพ เพราะต้องเก็บไว้เผื่อหลงทางแล้วต้องเสิร์ชแผนที่ เพราะฉะนั้นลงทุนไปเลยจะได้ไม่ต้องอัดอั้นเหมือนเรา เจออะไรสวยๆก็ไม่ได้อัพ ความรู้สึกเหมือนเห็นห้องน้ำแล้วต้องอั้นขี้ ทรมาณสุดๆๆๆๆ

Location : The Villas Dining and Coffee House

มื้อเย็นมื้อแรกมาตามลายแทงโบรชัวร์ที่หยิบได้ตามสนามบิน ด้วยคีย์เวิร์ดเดียวว่าอยากกินสเต๊ก!! และมีร้านเดียวเท่านั้นที่เปิดช่วงเวลาคาบเกี่ยว 4-5 โมง(ร้านส่วนใหญ่เปิด Dinner หลัง 6 โมง และเราก็มาถึง The Villlas ได้กินสเต๊กเอร็ดอร่อยสมใจ

เริ่มออกเดินทางได้!

ลืมตาตื่นเพราะความหนาวกันตั้งแต่ 7 โมงฤกษ์งามยามดีที่สำหรับ Roadtrip วันแรกของเรา วันนี้เราจะมุ่งออกจาก Christchruch โดยใช้เส้นทาง Aurther’s Path เส้นทางที่ถูกขนานนามว่าเส้นทางสายโรแมนติค และไปจบปลายทางที่เมือง Punakaiki เป้าหมายคือการไปชม Pancake Rocks เอาหละ “Thounsand miles journey begins on the first step” พร้อมแล้ว Here We go!  

แต่ก่อนอื่นด่านแรกใครที่ใช้เส้นทางนี้ขับรถออกจาก Chirstchurch ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ให้แวะชม Castle Hill จุดผ่านแรกที่ได้ลงไปยืดเส้นยืดสายถ่ายรูปเล่นกันหน่อย Castle Hills เป็นกลุ่มก้อนหินที่มากระจัดกระจายกัน อย่างประหลาดสามารถปีนป่ายให้เต็มที่ พอมาถึงพ่อกะแม่เราสนุกสนานปล่อยแก่กันใหญ่เลย

Location : Castle hill

ด้วยความตื่นเต้นชักภาพกันไปเกือบพันรูป จนลืมไปว่านี่พึ่งที่แรกเองนะปะๆไปต่อกันได้แล้ว วันนี้ยังอีกยาวไกลนัก กระโดดขึ้นรถไปได้ สองชั่วโมงกว่าเราก็เข้าสู่เส้นทางสายโรแมนติค Aurther’s Pathแต่เส้นทางสายโรแมนติคนั้น ไม่ค่อยโรแมนติคสำหรับเราเท่าไหร่ เพราะเมื่อเราก้าวเข้าสู่ Aurther’s Path กลุ่มเมฆครึ้มก็มาบดบังวิวเราซะหมด อดลงถ่ายรูปเลยวิ่งดิ่งยาวๆเข้าสู่เมือง Punaikaiki

Location : ทางเข้าสู่เส้นทางสายโรแมนติค Aurther’s Path

Punakaiki เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใน National Park ที่มีจุดชมวิวที่สำคัญคือ Pancake Rock ผาที่รูปร่างแปลกตา ที่ถูกลมกัดเซาะ เห็นชั้นที่ทับซ้อนกันของหินเป็นเลเยอร์ๆ เหมือนแผ่นแพนเค้กเรียงกัน

Pancake Rocks National Park จัดวางทางเดินให้เราเดินสำรวจไปตามหน้าผาเดินสบายตลอดสาย ระหว่างเดินเราจะรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เพราะทุกครั้งที่คลื่นซัดเข้าฝั่ง แรงอัดของน้ำอัดเข้าซอกหินด้วยพลังมหาศาลจะเกิดเสียงดังกังวาลไปทั่ว ทำเอาหยุดยืนมองตื่นตะลึงไปเลยทีเดียว เส้นทางสำรวจ Pancake Rocks ใช้เวลาเดินไม่นานนัก

อุทยานนี้มี check point ให้เราสำรวจธรรมชาติได้หลายจุด มีทั้ง Track แบบเดิน 5 นาทีรอบไปจนถึง 2 ชั่วโมง มากับผู้ใหญ่เราเลยเลือกเส้นทาง True Man Track เส้นทางสั้นๆ เดินเบาๆสวยๆก็พอ ความอิมแพคของธรรมชาติ น่าพอใจเลยทีเดียว

เดินเสร็จประมาณ 5 โมงกว่าๆก็ต้องรีบออกเพราะวันนี้อากาศอึมครึม ดูแววแล้วน่าจะมืดเร็ว รีบจ้ำเดินออกดีกว่า ก่อนที่จะต้องหลงป่าทั้งหนาวทั้งชื้นในความมืด ขึ้นรถออกไปเช็คอินเข้าที่พักกันดีกว่า สำหรับใครที่มีเวลาจำกัดแบบเรา Old Man Track ถือเป็นที่เที่ยว ฆ่าเวลาที่ดีทีเดียว ก่อนมาเราได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของที่พักที่นี่ ว่าจะต้องทำให้เราประทับจิตประทับใจแน่ๆ แต่ก็คิดภาพไว้ระดับหนึ่ง พอมาถึงจริงๆ โอโห แม่เจ้าโว้ยยยยยยยยยยยยยยย เราได้บ้านตากอากาศทั้งหลัง ห้องนอนห้องหนึ่งหลังคาใสเอาไว้ให้นอนนับดาวตอนกลางคืน ดีนะเนี่ยที่เรามากับพ่อแม่ สำหรับใครที่เป็นคู่รักกัน มานอนห้องนับดาวห้องนี้ รับรองได้น้องนิวซีแลนด์ น้องเเพนเค้ก น้อง Punakaiki กลับบ้านไปด้วยแน่ๆ

Location :Havenz Punakaiki

สำหรับใครที่ชอบทำอาหาร แล้วอยากมาพักที่นี่แนะนำอย่างยิ่งให้แวะ Supermarket ตั้งแต่ที่เมือง Greymouth  ซื้อเนื้อซื้ออะไรมาทำกันที่นี่เลย เพราะ Punakaiki เป็นเหมือนที่พักในอุทยานไม่ใช่ชุมชน มีร้านอาหารเพียงร้านเดียว ที่พักที่นี่มีอุปกรณ์ทำอาหารครบ(ครบกว่าบ้านเราอีก) บรรยากาศก็ดี พวกเราเสียด้ายยยย เสียดายย ที่ไม่ได้ปิ้งบาร์บีคิวที่นี่

วันแรกผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย หนาวเหน็บ และรวดเร็ว

ระหว่างขับรถจากเมืองต่างๆ นิวซีแลนด์มีเรื่องให้เราได้ตื่นเต้นตลอดเวลา เราค่อยๆวิ่งผ่านชายฝั่งวิ่งลงใต้เรื่อยๆ วันนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่ Punakaiki – Fran Josef เปลี่ยนบรรยากาศจากชายทะเล

มาเป็นภูเขาหิมะกันบ้าง พอยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเราก็จะผ่านลำธาร ที่ไหลลงมาจาก ยอดเขาหิมะต่างๆสำหรับปีนี้ความร้อนมาค่อนข้างช้า น้ำยังไม่เยอะมากแต่สีฟ้าสดใสบริสุทธิ์ น่าลงไปดื่มจริงๆ

สำหรับใครที่จะทำตามเส้นทางนี้ ขากลับเราจะมุ่งหน้าโดยใช้เส้นทางเดิม ใครที่ขับช้ามาไม่ทันเห็น Pancake Rocks ไม่ต้องกังวลเราสามารถมาแวะซ้ำในเช้าวันต่อไปได้

ลำธารสีฟ้าสดระหว่างทาง ที่เมื่อผ่านเห็นทุกคนทุบเบาะบอกให้จอดๆ!!! สวยขนาดนี้ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยเถอะ

มาถึง Frans Josef ต้องทำอะไร?
เล่าก่อน Frans Josef จะมีเมืองพี่น้องใกล้กันชื่อเมือง Fox Glacier เมืองสองเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการมาเพื่อเยี่ยมชม ธารน้ำแข็งเก่าแก่ที่นับวันๆผลจากสภาวะโลกร้อนทำให้เเผ่นน้ำแข็งมีขนาดเล็กลงทุกปีๆมีกิจกรรมหลายอย่างให้เลือกทำ เด่นๆเลยก็คือ
1.Heli Hiking คือเราจะนั่งเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับไกด์ส่วนตัว เขาจะพาเราเดินสำรวจปีนป่ายไปตามภูเขาน้ำแข็ง ใส่รองเท้าหนาม เข้าถ้ำน้ำแข็งไปเรื่อยๆ มีทั้งแบบ Half day Trip และ Full day Trip

2.Heli Landing on Glacier คือการขึ้น เฮลิคอปเตอร์ สำรวจธารน้ำแข็งจาก Fran Josef วน รอบไปจนถึง Fox Glacier และจะมีเวลาช่วงสั้นๆที่จะลงจอดกลางธารน้ำแข็งเพื่อให้เราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ใช้เวลา(แบบเต็มที่) บินชม Glacier ทั้ง 2 แผ่น 45 นาที ลงจอด 10 นาที – ครึ่งชั่วโมง

สำหรับเราเราอยากทำ Heli Hiking มากกกกก แนะนำให้จองมาก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง เมื่อได้ตั๋วแล้วก็หายห่วงไป 50% แต่ที่ต้องลุ้นอีก 50% คืออากาศวันจริงหน้างาน ฟ้าจะปิดหรือจะเปิดก็ต้องหาคนมาปักตระไคร้ให้ดีละกัน (จองมาแล้วไม่ได้ขึ้นเพราะอากาศ หรือเหตุสุดวืสัยเค้ายินดีคืนเงินให้น้ะไม่ต้องห่วง)

วันที่ไปถึงอากาศปิดเฮลิคอปเตอร์สามารถขึ้นไปได้อย่างจำกัดงานนี้เลยอด Hiking ลอดถ้ำน้ำเเข็งเป่าแก้วเป็นแอลซ่า ทำได้แค่ Landing บนเขาเบาๆ แต่หนทางไปสู่ Glacier นั้นมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

วันไหนเจ้าหน้าที่บอกอากาศปิด ก็คือปิดไม่มีฮอลำไหนสามารถขึ้นได้เพราะเป็นอะไรที่เสี่ยงสุดๆ สำหรับเราที่จองฮอสำรวจ Glacier รอบเย็นไว้ กลับถูกแคนเซิลเอาดื้อๆ เพราะกลุ่มเมฆฝนดันมาตั้งเค้าตอนเราจะขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่หนทางมันก็ไม่ได้มืด 8 ด้านซะทีเดียว เจ้าหน้าที่บอกว่ายังไงจะต้องเอาหมวยตาดำๆอย่างพวกเราขึ้นไปให้ได้ เราเลือกยังจองทิ้งไว้รอบพรุ่งนี้เช้า 7 โมงตรงพี่หนวดบอกให้กลับมาพบกันที่นี่ กลับไปสวดมนต์ภาวนาถ้าอากาศดีเราจะพาคุณขึ้นไป

เช้าวันต่อมาเราตื่นมาพร้อมกับเสียงฝน ลืมตาปุ้ป…ก็ร้องแง๊กกกกกก อดดู Glacier แล้วแน่ๆ งัวๆเงียๆฟันยังไม่ได้แปรง หน้ายังไม่ได้ล้างใส่เสื้อหนาว ขับรถไปที่ออฟฟิตก่อนเลย พี่ค้ะะะ จะดูได้มั้ยค่ะเนี่ยยยย ความฝันยังไม่สลายพี่หนวดใจดีบอกเราว่า โทรไปสำรวจบรรยากาศที่เมือง Fox Glacier(เมืองพี่น้องข้างๆห่างกัน 30 นาที) พอจะมีแววสดใสบ้างในอีก 2 ชั่วโมง  10 โมงเอาตัวเองไปให้ถึงที่นั่นถ้าโชคดีจะได้ขึ้นไป เมื่อพี่หนวดพูดจบเหมือนฟ้าประทานพรเราและพี่รีบบึ่งรถกลับที่พักด้วยความปลื้มปริ่มบอกทุกคนให้เก็บกระเป๋า แล้วไป Fox Glacier กัน

ความสวยงามมากมายพอๆกับความตื่นเต้น การขึ้นไปบนยอดภูเขาสูงๆช่วงสายๆนี่ถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยง

พวกเราแลนด์บนเขาถ่ายรูปยังไม่ทันตั้งสติทัน กระโดดลงปุ๊ปเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พี่กับตันหน้าโหดก็กวักมือเรียกให้เรากลับขึ้นฮอ แม่ๆป้าๆ ยังถ่ายรูปยังไม่หนำใจ ก็ต้องรีบสับขาขึ้นฮอก่อนที่จะโดนกัปตันเหวี่ยงเอา และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆปิดประตูฮอ เข็มขัดยังไม่คาดดังคลิ๊ก พี่กับตันก็ดึงเราขึ้น เมฆหมอกก้อนมหึมามาจากไหนไม่รู้แทบจะโอบคลุมพวกเราไว้ทั้งหมด กัปตันเร่งเครื่องสุดแรงฝ่าก้อนหมอกนั้นออกมาได้ ลูกทัวร์เจ๊กจีนอย่างพวกเราหลับหูหลับตากรี๊ดเสียงดังแทบทะลุเสียงใบพัด ในที่สุดเราก็รอดมาได้ หันหลังกลับไปก้อนเมฆขี้หวง ก็บดบังภูเขาทั้งหมดไว้ซะแล้ว ดีนะเนี่ยที่ไม่ดื้อดึงเชื่อฟังพี่ กัปตันทุกประการไม่งั้นอาจจะได้เฝ้า Fox Glacier ก็เป็นไปได้

สำหรับเราการได้เห็นหิมะ หรือภูเขาหิมะไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ กลับกันการได้เห็นภูเขาหิมะครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ การได้พาพ่อ แม่มาเห็นอะไรที่แกไฝ่ฝันจะมาเห็น สีหน้าและแววตาจะแสดงออกถึงความตื่นเต้น เหมือนเด็กๆที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่อีกครั้ง นี่คงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่การพาพ่อแม่เที่ยวไม่ได้เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเราเลยสักนิด

งานฟ้อนโดยไม่ได้นัดหมายของแม่กับป๊า หลังแลนด์ลงบนธารน้ำแข็ง บอกให้ถ่ายรูปไม่รู้จะทำอะไรดีฟ้อนละกัน 5555

ก่อนออกจากเมือง Fox Glacier เราขอแวะชมที่เที่ยวบังคับ ชมสะพานแขวนเก่าแก่ที่ไม่ว่านักท่องเที่ยวที่ไหนต้องมาเผชิญหน้ากับความกลัวกันที่ที่ ความโคลงเคลงของสะพานทำให้เราเสียวไปหลายวูบเหมือนกันเมื่อ Checkpoint ครบกระโดดขึ้นรถ มุ่งลงใต้สู่ Lake Wanaka

วันนี้เป็นวันที่ใช้เวลาบนรถยาวนานที่สุดวันหนึ่ง เรามุ่งดิ่งลงใต้พกอาหารเที่ยงไปกินเพื่อความประหยัด และลดเวลาที่เปลืองไปกับการหยุดที่ร้านอาหาร เก็บไว้หยุดเพื่อถ่ายรูประหว่างทางแทน!! เพราะว่าวันนี้ เราจะผ่านเส้นทางที่มีวิวข้างทางที่ พีค! ที่สุดวันหนึ่ง แถมไม่พอวันนี้ฟ้าฝนก็เริ่มเป็นใจสักที ท้องฟ้าสดใส ต่างจากความอึมครึมของเมื่อเช้าอย่างลิบลับ ในที่สุดเราก็ได้สัมผัสความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ สักที ตลอดเส้นทางที่นำเราสู่ Lake Wanaka ทะเลสาบน้อยใหญ่ผลัดกันออกมาต้อนรับเราตลอดทาง

เส้นทางเดินรถที่ว่าพึคของวันนี้คือระหว่างขับมุ่งหน้าลงสู่ Lake Wanaka เราจะผ่าน Lake Hawea ที่มีเส้นทางเดินรถเรียบทะเลสาบ ที่ยาวกว่า 35 กิโลเมตร โชคดีของเราที่วันนี้อากาศดีท้องฟ้าสีฟ้าสดสะท้อนลงผิวน้ำทำให้ภาพทั้งหมดที่เห็นที่กระจกเป็นสีฟ้าสดสวยงามเกินคำบรรยาย ตลอดเส้นทางพวกเราขับช้าๆดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเต็มที่ นึกถึงแล้วยังสนุกอยู่เลย รัวชัตเตอร์เสมือนว่าเมมโมรี่กล้องบันทึกได้อินฟีนิตี้ ความงดงามของเส้นทางทำให้การขับรถเที่ยวไม่มีชั่วโมงที่น่าเบื่อเลย

เบื่อนั่งกินในรถ พวกเราจอดแวะพักยามบ่ายทำแซนวิชริมหน้าผา มองไปข้างหน้าเป็นวิวแบบนี้

วิวแบบนี้สามารถเห็นได้ตลอดทางที่เราขับมา อยากจอดตรงไหนก็เข้าไหล่ทางเรื่อยๆ ถ้าประเทศเรารวยข้าว ที่นี่คือเป็นเศษรฐีวิว ทุกที่สามารถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ ความคุ้มค่าของการมานิวซีแลนด์จึงการได้นำตัวเองมา มองวิวแบบนี้แบบบุฟเฟต์ยิ่งขับไปยิ่งมีอะไรตื่นเต้นออกมาเรื่อยๆ เป็นบุฟเฟต์ที่ไม่มีวันอิ่ม ทำให้จุดหมายปลายทางที่ Lake Wanaka ไม่ใช่พระเอกอีกต่อไป เพราะเราได้เสพ Climax กันมาตลอดทาง เมื่อมาถึง Lake Wanaka ก็เหมือนกับมาพักผ่อนดูผู้คนกันแบบชิวๆ โชตดีที่เรามาวันที่อากาศดีแดดร้อน ทำให้เราได้เห็นชีวิตผู้คนที่โหยหาแสงแดดและกิจกรรมกลางแจ้ง หอบลูกหอบหลานออกมาเล่นน้ำ ปิคนิคกันเต็มเหาดเป็นภาพวิถีชีวิตน่ารักๆที่เราชอบนั่งแอบมองทุกครั้งไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม 

ที่ Lake Wanaka จะมีอุปกรณ์เล่นน้ำแบบต่างๆ เช่นเรือแคนนู jet ski หรือ Wind surf บริการให้เราเช่าเล่น แต่จะปิดหลัง 5 โมงเย็น สำหรับใครที่อยากมาเล่นกิจกรรมทางน้ำต้องมาให้ทันก่อนนั้น

ถึงแม่จะมาไม่ทันก็ไม่เสียดาย เพราะถึงแม้แดดจะแรงแค่ไหน น้ำก็คือเย็นจับจิต แตะนิดเดียวคือหัวแม่โป้งชา เพราะงั้นขอบายนอนอาบแดดดูคนเบาๆดีกว่าจ้า

สำหรับใครที่เอียนอาหารฝรั่งกันสุดๆเหมือนเรา ที่เมือง Wanaka มีร้านอาหารไทยอยู่ร้านนึงที่ไม่ได้เป็นไทยปลอม ไทยหลอกในครัวคือเว้าอีสานกันจริงๆ เปิดประตูไปน้ำตาแทบไหล สั่งต้มยำกุ้ง ผัดกระเพราะรัวๆ คนไทยมาถึงเมือง Wanaka รับรองว่าไม่อดตายแน่จ้า

มาถึงตรงนี้เราขอปล่อยให้ทุกคนได้พักผ่อนหย่อนใจกันที่ Lake Wanaka กันก่อนแล้วตอนที่ 2 เราจะมุ่งหน้ากันต่อไปที่ Queenstowns เมืองที่เคลมตัวเองว่าเป็น Capital of Adventure จะแอดเวนเจอร์ หรือหวัใจวายก่อน ตามต่อในกระทู้หน้า Take a look around Heaven Part 2 จ้าาา